|
|
 |
:. ภาษาภาพยนตร์ .:
องค์ประกอบของภาษาภาพยนตร์
(ต่อ)
.....2.เสียง
เสียงที่ใช้ในภาพยนตร์ประกอบด้วย
..........•เสียงพูด
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
...............-เสียงสนทนา
(Dialoque) เป็นเสียงที่ได้ยินพร้อมกับเห็นริมฝีปากขยับ นิยมใช้กับการแสดง
...............-เสียงบรรยาย
(Narration) เป็นเสียงของผู้พูดที่ไม่ปรากฏตัวในภาพยนตร์และอธิบายถึงเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์
..........•เสียงประกอบ
(Sound Effect) ใช้ประกอบส่วนหนึ่งของความเป็นจริง
เช่น เสียงไซเรน เสียงล้อบดถนน
..........•เสียงดนตรี
(Music) นิยมใช้เร้าอารมณ์มากกว่าใช้เป็นตัวเล่าเรื่อง
ปกติใช้เสียงดนตรีในฉากเหตุการณ์ที่วิกฤต เกิดความสงสัยเคลือบแคลงขึ้น
รวมทั้งนิยมใช้ดนตรีในการเชื่อมโยง Sequence หนึ่งไปอีก Sequence
หนึ่ง
.....3.การตัดต่อ
หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทั้งหมดของเรื่องราวในภาพยนตร์
โดยคำนึงถึงการเคลื่อนไหวภายใน Shot ทิศทางในการแสดงและของ
Subject องค์ประกอบภาพ ตลอดจนความยาวของฉากเหตุการณ์แต่ละอัน
เพื่อใช้ในการสร้างจังหวะ (Tempo) สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการตัดต่อมี
5 ประการ ดังนี้
..........•การเชื่อมภาพ
เป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงจากฉากหนึ่งไปยังอีกฉากหนึ่ง ก่อให้เกิดความหมายที่แตกต่างกันออกไป
ทั้งในส่วนของความต่อเนื่องและการเปลี่ยนเวลาและสถานที่ของเหตุการณ์ในภาพยนตร์
ได้แก่
...............-การตัดตรง (Cut)
เป็นการเปลี่ยนจากฉากหนึ่งไปยังอีกฉากหนึ่งอย่างรวดเร็ว และเป็นเทคนิคพื้นฐานของการตัดต่อลำดับภาพอีกด้วย
...............-ภาพจาง (Fade)
ในภาพยนตร์มีการใช้ภาพจาง 2 แบบ คือ
....................<ภาพจางเข้า
(Fade In) เป็นการปรากฏของภาพจากความมืดแล้วค่อยๆ ปรากฏเห็นเป็นภาพชัดเจนในที่สุด
....................<ภาพจางออก
(Fade Out) มีลักษณะตรงข้ามกับภาพจางเข้า
...............-ภาพจางซ้อน
(Dissolve) เป็นลักษณะรวมของ Fade In และ Fade Out นิยมใช้ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาพในภาพยนตร์
...............-ภาพกวาด
(Wipe) คือ การที่ภาพใหม่เข้ามาแทนที่ภาพเก่า โดยที่ผู้ชมยังคงมองเห็นภาพทั้ง
2 ซีน ได้อย่างชัดเจนตลอดช่วงของความยาวของการกวาดภาพนั้น
...............-ภาพซ้อน
(Supper Impose) เป็นการพิมพ์ฉาก 2 ฉาก หรือมากกว่านั้นเข้าด้วยกันด้วยช่วงความยาวเดียวกัน
ใช้ในการแสดงความหมายในเชิงจิตใต้สำนึก
..........•ความหมายที่
3 ตำแหน่งที่มีการตัดต่อใดๆ ก็ตาม
ย่อมก่อให้เกิดความหมายบางอย่างในภาพขึ้น เมื่อฉาก 2 ฉากที่มีความเกี่ยวเนื่องกันถูกตัดต่อเข้าด้วยกัน
ก็จะก่อให้เกิดความหมายที่ 3 ขึ้น หรือมีลักษณะการแสดงโดยนัย
ซึ่งเกิดขึ้นเองในใจผู้ชม
...............-การตัดต่อแบบเล่าเรื่อง
คือ เล่าเรื่องอย่างมีความต่อเนื่อง เช่น ถ่ายภาพของชายคนหนึ่ง
ต่อด้วยภาพไก่ย่าง ความหมายที่ 3 จะเกิดขึ้นว่าเป็นภาพชายผู้หิวโหย
พร้อมจะทานอาหารได้ทันที เป็นต้น
...............-การเล่าเรื่องแบบแสดงโดยนัย
เป็นการเสนอเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ เพื่อสร้างความหมายที่สามในเชิงสัญลักษณ์ขึ้นภายในใจของผู้ชม
โดยความหมายใหม่นั้นไม่ได้มีอยู่มาก่อน เช่น ภาพใกล้ชายคนหนึ่ง
ตามด้วยภาพนกพิราบบินขึ้นฟ้า โดยที่ปูเรื่องราวว่าชายคนนั้นเคยเป็นนักโทษ
ดังนั้นความหมายโดยนัย คือ ความเป็นอิสระ หลุดพ้นจากกรงขัง
..........•เวลาและระยะในภาพยนตร์
...............-เวลาในภาพยนตร์
เวลาที่เป็นจริงในโลกจะแตกต่างจากเวลาในภาพยนตร์โดยสิ้นเชิง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นวัน อาทิตย์ เดือน ปี สามารถย่นให้เหลือชั่วโมงเดียว
ภาพยนตร์สามารถทำให้สั้นหรือยาวกว่าความเป็นจริงได้
...............-ระยะในภาพยนตร์
มีลักษณะเหมือนเวลา คือ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในระยะของความเป็นจริง
โดยใช้การเชื่อมภาพเข้ามาแทน
..........•จังหวะ
จังหวะในภาพยนตร์ถูกควบคุมด้วยความยาวของเวลาที่ฉากเหตุการณ์นั้นปรากฏบนจอ
ถ้าจังหวะที่ปรากฏนาน เหตุการณ์นั้นจะมีลักษณะค่อนข้างเฉื่อยชา
หากเหตุการณ์ปรากฏบนจอค่อนข้างสั้น จังหวะของเหตุการณ์จะมีลักษณะไปทางตื่นเต้นมากกว่า
..........•การตัดต่อรูปแบบอื่น
แนวความคิดเรื่องเกี่ยวกับเวลาและระยะในส่วนของการตัดต่อ ยังมีวิธีการอีกหลายรูปแบบ
คือ
...............-Flash
Back เป็นวิธีการที่แสดงถึงเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนเหตุการณ์ที่กำลังปรากฏอยู่
...............-Flash
Forword ใช้แสดงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่นเดียวกับแฟรชแบล็ค
โดยใช้การเชื่อมภาพมาช่วย
...............-มอนทาจ
เป็นชุดของซีนสั้นๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน เมื่อมองภาพรวมแล้วจะบอกความหมายที่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อาจใช้แสดงถึงการผ่านไปของเวลาที่ยาวนาน เช่น เหตุการณ์ในช่วงเวลาของสงคราม
ใช้ภาพจางซ้อน เพื่ออธิบายการผ่านไปอย่างยาวนาน หรือฉากเกี่ยวข้องอยู่ในความนึกคิด
เช่น ความฝัน |
|
|
|
|